เรารู้จัก "เจลาติน" กันมากแค่ไหน!
ตอนเด็กๆ อิชั้นรู้จักเยลลี่ หวานๆ ลี่นๆ เย็นๆ...กินแล้วก็อร่อยดี...พอโตมา ก็รู้เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยว่า เจลาตินมี 3ชนิด คือสกัดได้จากสัตว์ (กระดูก หนังของหมู วัว ควาย) จากพืช (จากสาหร่าย) หรือจากปลา (ชาวมุสลิมจะบริโภคชนิดที่สกัดจากปลา) และประโยชน์จากเจลาตินนั้นมีมากมาย เช่น
-ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบหรือเคลือบอาหาร ขนม เบเกอรี่ หรือยาให้มีรูปทรงที่คงตัว
-เจลาตินมีส่วนประกอบเป็นโปรตีน ประโยชน์ในทางการแพทย์คือ ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้รักษาผู้ป่วยภาวะพร่องภูมิคุ้มกัน และใช้ฟื้นฟูร่างกายในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
-เชื่อกันว่าเจลาตินอาจช่วยเพิ่มคอลลาเจนภายในข้อต่อจึงอาจช่วยบรรเทาความผิดปกติของกระดูกและข้อต่อ
-กรดอะมิโนไกลซีนในเจลาติน ที่เชื่อกันว่าสามารถช่วยพัฒนาในด้านความจำ รวมทั้งอาจช่วยบรรเทาอาการจากโรคทางจิต อย่างโรคจิตเภท โรคย้ำคิดย้ำทำ และโรคคิดว่าตนเองมีรูปร่างหรืออวัยวะผิดปกติ (ฺBody dysmorphic disorder)ได้ด้วย ส่วนกรดกลูตามิกหรือกลูตามีนในเจลาตินยังมีการนำไปใช้เพื่อรักษาโรคทางจิต อย่างภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล และภาวะไฮเปอร์ นอกจากนี้ กรดกลูตามิกยังอาจช่วยลดอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวได้อีกด้วย
-ไกลซีนในเจลาติน ช่วยให้สมองผ่อนคลาย บรรเทาอาการจากโรคนอนไม่หลับ และลดอุณหภูมิในร่างกายลงซึ่งมีผลต่อการนอนหลับที่ดีขึ้น
-เจลาตินมีแคลอรีที่ต่ำและมีโปรตีนสูง ช่วยให้อิ่มนาน ทั้งยังช่วยลดความอยากอาหารได้ ช่วยควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2
-กลูตามีนในเจลาติน ทำให้ผนังลำไส้แข็งแรงและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคลำไส้รั่ว
-การทดลองเจลาตินจากผิวหนังของหมูในหลอดทดลอง พบว่าเนื้องอกและเซลล์มะเร็งนั้นมีการเติบโตที่ช้าลง
-ช่วยลดความเสียหายของตับจากสาเหตุต่าง ๆ อย่างการดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยให้ร่างกายทนทานและฟื้นตัวได้ดีขึ้นหลังจากการออกกำลังกายหรือการบาดเจ็บจากกีฬา
-ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว ช่วยให้เล็บแข็งแรง นอกจากนี้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าคอลลาเจนอาจช่วยเพิ่มจำนวนเส้นผมทำให้ผมดูหนาขึ้นแม้ในผู้ที่เป็นโรคผมร่วง
เราสามารถรับประทานเจลาตินได้อย่างปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่มีข้อควรระวังในบางคน ที่อาจมีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง เรอ หรือแสบร้อนกลางอก รวมถึงผลข้างเคียงในเด็ก ทารก ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร